วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ภัยและเหตุปัจจัย ที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อม

จากพรรษาที่ ๑๙ ของพระพุทธเจ้า ขณะทรงประทับจำพรรษา ณ จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึงภัยอนาคตอันเป็นความเสื่อมของพุทธศาสนา ไว้ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนินิบาตข้อ ๘๐ กล่าวถึงภัยในอนาคต ๕ ประการ ซึ่งยังไม่บังเกิดในตอนนั้น แต่ว่าจะบังเกิดในกาลต่อมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ปีที่แล้ว และทรงตรัสว่าภัยที่หลายนั้น อันเธอทั้งหลายควรรู้ไว้ ครั้นรู้แล้ว เธอพึงพยายามเพื่อละภัยเหล่านั้นเสีย

ภัยทั้ง ๕ ประการคือ

๑. ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบจีวรในนาม ไม่ชอบจีวรในงาน จะละความเป็นผู้ถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร (ในสมัยก่อนถือผ้าบังสกุลเป็นวัตร) จะประชุมกันอยู่ตามทางนิคมในงาน (ที่ชุมนุม) และราชธานี (เมืองใหญ่) จะถึงกาลแสวงหาที่ไม่สมควร ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งจีวร

๒. ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบบิณฑบาตที่ดีงาม ไม่ชอบบิณฑบาตที่มีงาน ก็จะละความเป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร คือเดินออกไปบิณฑบาต จะประชุมกันอยู่ตามทางนิคม (เมือง)  และราชธานี แสวงหาบิณฑบาตที่มีรสเลิศด้วยกายลิ้น ประจักษ์ถึงการแสวงหาที่ไม่สมควร อันไม่เหมาะสมต่าง ๆ เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต (การบิณฑบาต คือการขอโดยดุษณีภาพเป็นลักษณะเด่นเพราะคำว่าภิกษุคือผู้ขอจริง ๆ จึงเป็นผู้ที่ต้องออกบิณฑบาต )

๓. ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้ชอบเสนาสนะที่ดีงาม (อยู่ในเมือง) ไม่ชอบเสนาสนะที่มีงาน ก็จะละความเป็นผู้ถือกายอยู่ป่า วัด ละเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า และป่าชัฏ จะประชุมกันอยู่ตามทางนิคม และราชธานี และจะแสวงหาที่ไม่สมควร อันไม่เหมาะสมกับกาล เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ (รวมถึงเครื่องอัฏฐะบริขาร ทั้งหมดด้วย)

๔. ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณี สามเณรี และสามมนุษย์เทพเพื่อหวังได้ว่า เธอเหล่านั้นจะไม่เป็นผู้ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ จะต้องอาบัติ เศร้าหมองบางประการ หรือจะก่อคืนสิกขา เวียนมาเพื่อความเป็นคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งการคลุกคลีนั้น

๕. ในอนาคต ภิกษุทั้งหลาย จะเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ เมื่อมีการอยู่คลุกคลีด้วยอารามิกบุรุษ พึงหวังได้ว่า เธอเหล่านั้นจะเป็นผู้ประกอบแต่การบริโภคของที่สะสมไว้มีประการต่าง ๆ จักทำนิมิตแม้อย่างหยาบในแผ่นดินบ้าง ทีปลายขอบเขียวบ้าง (สร้างวัตถุพุทธพาณิชย์แบบที่เราได้เห็นกัน)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยในอนาคตทั้ง ๕ ประการที่ยังไม่บังเกิดในบัดนี้ แต่จักบังเกิดในกาลต่อไป ภัยนั้นอันเธอทั้งหลายพึงรู้ไว้เฉพาะ ครั้นแล้วพึงละภัยเหล่านั้น อันเป็นความเสื่อมของภัยพระพุทธศาสนาในอนาคตกาล

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

โง่แล้วขยัน..

นี่คือ..ตัวอย่างหนึ่งของโง่แล้วขยัน เห็นภาพพ่อแม่ครูจารย์ แล้วอยากจะใส่คำอธิบายภาพลงไป เมื่อเผยแพร่ออกไป จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง ว่าพระองค์แรกที่ถือไม้เท้าคือองค์พระหลวงปู่มั่น
องค์หลัง คือ หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต


แท้จริงแล้ว หลวงตาได้พูดถึงภาพนี้ว่า..
"..เอ๊ นี่รูปใครถ้าว่าไม่ใช่รูปหลวงปู่มั่น ใครเอามาไว้สุ่มสี่สุ่มห้า ว่ารูปเรา มันรูปยังไงนา เราไม่เคยอาจเอื้อมที่จะไปถ่ายรูปกับหลวงปู่มั่นนี่นะ ใครมาทำ (ไม่ใช่หลวงปู่มั่น เป็นหลวงปู่ชอบเจ้าค่ะ พ่อแม่ครูจารย์ไปดูใกล้ๆ) แล้วเขียนว่าหลวงปู่มั่นทำไม เขียนว่าหลวงปู่มั่น หลวงปู่หลุย แล้วหลวงตาบัว เราเลยไม่แน่ใจทั้งนั้น (พระท่านเคยเห็นรูปขาวดำ ท่านบอกไม่ใช่หลวงปู่มั่นเหมือนกันครับ ท่านบอกเป็นหลวงปู่ชอบครับ) ก็นั่นซี ก็ไม่เคยเห็นท่านถือไม้เท้า เราไปอยู่กับท่านจนกระทั่งท่านมรณภาพไม่เห็นท่านถือไม้เท้าเลย และรูปท่านก็ไม่ได้ถ่ายง่ายๆ นะ ท่านไม่ให้ถ่าย ที่ธาตุพนมนั่นท่านอนุญาตให้ลูกศิษย์เก่าของท่าน โยมทองอยู่ ธาตุพนม ถ่าย ท่านอนุญาตให้แล้วก็ท่านให้ทุกท่าเลย นั่งขัดสมาธิ ไม้ค้ออยู่ที่ศาลาวัดป่า แล้วก็ยืน ท่านให้ทั้งนั้นละ เราก็อยู่ที่นั่นนี่.."

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ฤทธิ์คำสัตย์คำจริง
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=4071&CatID=2

แล้วจะต่างอะไรกับ..
การเอาหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น ที่เรียบเรียงโดยหลวงตา มาทำเป็นหนังสือภูริทัตตะ อัครเถราจารย์ การกระทำนี้มันผิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว... หากยังจะดำเนินการเผยแพร่ต่อไป ธรรมคำสั่งสอนของหลวงปู่มั่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามกิเลสคนเขียนหนังสือและแหล่งที่มาที่ไม่ได้รู้เห็นจริง เช่นเดียวกับรูปภาพข้างต้น แต่จะเป็นกรรมที่หนักกว่าเพราะทำให้คนอื่นหลงทาง ข้ามน้ำผิดท่า

รวมทั้งหนังสืออีกเล่มที่ทำขาย ก็เอาความเห็นส่วนตัวมาใส่ แต่งตั้งให้พระที่กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ว่าเป็นพระอริยะเจ้า และยังเอาพระรูปนั้นมาเปรียบเทียบกับหลวงปู่มั่น

หากคิดว่าตนฉลาดมีความสามารถเพียงพอ ทำไมไม่เอาประวัติหลวงปู่มั่นที่เขียนโดยคนอื่นเอามาทำหนังสือล่ะ หรือจะเขียนขึ้นมาเองก็ได้ คนเราจะสูงขึ้นมาได้ ไม่ต้องเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปหรอก

ถ้าโง่แล้วอยู่เฉย ๆ ก็จะไม่มีใครว่า ขอให้นำไปพิจารณา..

วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จดหมายเปิดผนึก ถึง พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน

จดหมายเปิดผนึก ถึง พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน


ตามที่ได้มีการจัดพิมพ์หนังสือ"ภูริทัตตะ อัครเถราจารย์" ขึ้นในโอกาสครบรอบ 100 ปี ชาตกาล ขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน โดยอมรินทร์พริ้นติ้ง ซึ่งมูลนิธิสิริวัฒนภักดี  เป็นผู้ออกทุนจำนวน 4 ล้านบาท จำนวนการจัดพิมพ์ 5,000 เล่ม และลิขสิทธิ์เป็นของวัดป่าบ้านตาด คำนำเขียนโดยพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน เนื้อหาประกอบด้วย ส่วนที่ยกมาจากหนังสือ "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน" และมีส่วนที่เสริมเข้ามาเช่น รูปภาพ ธรรมะ และประวัติศาสตร์สถานที่  บุคคล และส่วนอื่น ๆ นำมาจากหนังสือ เช่น หนังสือหยดน้ำบนใบบัว  มุตโตทัย รายละเอียดปรากฎอยู่ท้ายเล่ม  และทราบมาว่าจะมีการพิมพ์เพิ่มอีก และผู้เขียนได้ทำหนังสือ "บันทึกการเดินทางตามรอยธุดงค์หลวงปู่มั่นจอมทัพธรรม" มาพิมพ์ขายด้วย

หนังสือ "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นฯ" นั้นได้กลั่นกรองและพิจารณาแล้วจากองค์หลวงตาฯ และได้พิมพ์แจกเป็นระยะ ๆ มาตลอด ตั้งแต่ปี 2516 เป็นต้นมา อันเป็นหนังสือที่บริสุทธิ์และทรงคุณค่ามหาศาล เนื่องมาจากเป็นหนังสือที่พระอรหันต์เขียนประวัติพระอรหันต์ ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ตรงขององค์พระหลวงตาฯ และสอบทานกับพระอรหันต์ และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยตนเอง  หลวงตาฯ บอกอยู่เสมอว่า "ผู้ไม่รู้..แต่งไม่ได้  ผู้ไม่รู้..เขียนไม่ได้" หลวงตาฯ ได้ทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อที่จะเชิดชูพ่อแม่ครูจารย์มั่น อย่างที่สุด ถึงกับลงทุนไปเรียนพิมพ์ดีดเพื่อที่จะพิมพ์ต้นฉบับด้วยองค์ท่านเอง และไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้ว อยากถามท่านว่า หนังสือ "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่นฯ" นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะพิมพ์แจกในงาน 100 ปี ชาตกาลฯ หรืออย่างไร ท่านจึงได้อนุญาตให้มีการทำหนังสือดังกล่าวโดยปุถุชนคนหนา และมีการเสริมข้อมูลจากแหล่งที่มาหลากหลาย  ตัวอย่างเช่น มีการเชิดชูครูบาอาจารย์บางองค์ ซึ่งเป็นพระที่องค์หลวงตาไม่ลงใจ เพราะสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่น ข้ามหัวครูบาอาจารย์ และถูกไล่ออกจากวัด และต่อมามีการแอบอ้างว่าได้เคยสอนการภาวนาแก่หลวงตา และหลวงปู่เจี๊ยะ ตั้งแต่เป็นสามเณร  และอ้างว่าหลวงปู่มั่นสั่งให้มาอยู่กรุงเทพฯ  แม้กระทั่งหนังสือหยดน้ำบนใบบัว ก็เป็นหนังสือที่องค์หลวงตาท่านพูดว่า  "เราไม่เกี่ยวข้อง"

ถ้าหลวงตาฯ ยังอยู่.. ท่านจะอนุญาตให้ทำหนังสืออย่างนี้หรือไม่?

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตื่นเถิด...ลูกหมูทั้งหลาย

เราไปดูทุ่งกะมังแล้วก็มาบอกท่านทุย ท่านทุยเก่งเรื่องจับหมู จับไปจนเกือบหมดนะ เพราะฉะนั้นจึงบอกธรรมอินทร์ให้ไปติดต่อกับธรรมทุย เรื่องจับหมูนี้ไม่มีใครสู้ได้ แต่เรื่องจับกิเลสเหลวทั้งสอง เราก็บอกอย่างนี้นะ เรื่องจับหมูจับหมานี้จับดี แต่จับกิเลสนี้เหลวทั้งสองเลย...

จาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=751&CatID=2

เก่งกว่าศาสดาไปไหน?

ทุกครั้ง..ทำไมเริ่มขึ้น มันขวางแล้วเนี่ยเหอ (0:00:49)

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฤาษีกินเหี้ย

               ผู้ที่รู้มีอยู่ จะพูดอะไรน่ะ อายผู้ที่รู้บ้าง นาทีบรรลุธรรมก็ลอกของหลวงตาฯ  ไม่รู้หรือว่าครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่ท่านได้มรรคได้ผล ท่านมีวิทยานิพนธ์ของท่านเองทั้งนั้น เพราะท่านประพฤติปฏิบัติ เพื่อสัจจะความจริงที่แลกมาด้วยชีวิต ไม่ใช่จะใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการลอกคำพูดครูบาอาจารย์..แค่สัมมาสมาธิเอาให้ได้ก่อนเถิด (มีการปล่อยไก่ในงานแม่เที่ยง.. มีใครจับไก่ได้บ้าง?)

               กรณีศาลเตี้ยที่เขาใหญ่ ทำไมไปพูดที่ผาแดงอีกอย่างล่ะ หลักฐานก็มีอยู่ มันเป็นวาสนานิสัยที่ละไม่ได้ หรือมุสาวาทา กันแน่ ลูกศิษย์ก็ลองทบทวนดูซิว่าอาจารย์ของท่านมีสัมมาทิฏฐิหรือไม่

-------------------------------

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กินฺเต ชฏาหิ ทุมฺเมธ ดังนี้.

               เรื่องปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในหนหลังนั่นแล.

               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดเหี้ย ครั้งนั้น ดาบสรูปหนึ่งได้อภิญญา ๕ มีตบะกล้า อาศัยปัจจันตคามตำบลหนึ่ง อยู่ ณ บรรณศาลาชายป่า พวกชาวบ้านช่วยกันบำรุงพระดาบสด้วยความเคารพ. พระโพธิสัตว์ก็ได้อยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ณ ที่สุดที่จงกรมของท่าน ก็แลเมื่ออยู่นั้น ได้ไปหาพระดาบสวันละ ๓ ครั้งทุกๆ วัน ฟังคำอันประกอบด้วยเหตุประกอบด้วยผลแล้ว ไหว้พระดาบสแล้วกลับไปสู่ที่อยู่ของตน.

               ต่อมา พระดาบสก็อำลาพวกชาวบ้านหลีกไป ก็แลเมื่อพระดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตรนั้นหลีกไปแล้ว มีดาบสโกงอื่นมาพำนักอยู่ในอาศรมบทนั้น พระโพธิสัตว์กำหนดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็มีศีล จึงได้ไปสู่สำนักของเขาโดยนัยก่อนนั่นแล.

               อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเมฆตั้งขึ้นในสมัยใช่กาล ยังฝนให้ตกลงมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าพากันออกจากจอมปลวกทั้งหลาย ฝูงเหี้ยก็พากันออกเที่ยวหากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านก็พากันออกจับเหี้ยที่กินแมลงเม่าได้เป็นอันมาก แล้วจัดทำเป็นเนื้อส้ม ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันอร่อย ถวายพระดาบส.

               ดาบสฉันเนื้อส้มแล้วติดใจในรส จึงถามว่า เนื้อนี้อร่อยยิ่งนัก เนื้อนั้นเป็นเนื้อของสัตว์ประเภทไหน? ครั้นได้ยินเขาบอกว่าเนื้อเหี้ย ก็ดำริว่า เหี้ยตัวใหญ่มาในสำนักของเรา จักฆ่ามันกินเนื้อเสีย แล้วให้คนขนภาชนะสำหรับต้มแกงและวัตถุมีเนยใสและเกลือเป็นต้น วางไว้ข้างหนึ่ง ถือไม้ค้อนซ่อนไว้ด้วยผ้าห่ม คอยการมาของพระโพธิสัตว์ อยู่ที่ประตูบรรณศาลา นั่งวางท่าทำเป็นเหมือนสงบเสงี่ยม.

               ในเวลาเย็น พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักไปหาดาบสแล้วออกเดิน ขณะที่กำลังเข้าไปใกล้นั่นเอง ได้เห็นข้อผิดแผกแห่งอินทรีย์ของเขา จึงคิดว่า ดาบสนี้มิได้นั่งด้วยท่าทางที่เคยนั่งในวันอื่นๆ แม้จะมองดูเราในวันนี้เล่า ก็ชำเลืองเป็นที่เคลือบแฝง ต้องคอยจับตาดูให้ดี ดังนี้.

               พระโพธิสัตว์จึงไปยืนใต้ทิศทางลมของดาบส ได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงคิดว่า วันนี้ ดาบสโกงนี้คงฉันเนื้อเหี้ย ติดใจในรสแล้ว คราวนี้มุ่งจะตีเราผู้เข้าไปหาด้วยไม้ค้อน แล้วเอาเนื้อไปต้มแกงกินเป็นแน่ ก็ไม่ยอมเข้าไปใกล้เขา ถอยกลับวิ่งไป.

               ดาบสรู้ความที่พระโพธิสัตว์ไม่ยอมมา ก็คิดว่า เหี้ยตัวนี้คงจะรู้ตัวว่าเรามุ่งจะฆ่ามัน ด้วยเหตุนั้น จึงไม่เข้ามา แม้ถึงเมื่อมันจะไม่เข้ามา ก็ไม่พ้นมือไปได้ แล้วเอาไม้ค้อนออกขว้างไป ไม้ค้อนนั้นกระทบเพียงปลายหางของพระโพธิสัตว์เท่านั้น

               พระโพธิสัตว์เข้าจอมปลวกไปโดยเร็ว โผล่ศีรษะออกมาทางช่องอื่น กล่าวว่า เหวยชฏิลเจ้าเล่ห์ เมื่อเราเข้าไปหาเจ้า ก็เข้าไปหาด้วยสำคัญว่าเป็นผู้มีศีล แต่เดี๋ยวนี้ความเจ้าเล่ห์ของเจ้า เรารู้เสียแล้ว มหาโจรอย่างเจ้า บวชไปทำไมกัน.

               เมื่อจะติเตียนดาบส จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-

               "เหวยชฏิลปัญญาทราม เจ้ามุ่นชฎาทำไม นุ่งหนังเสือทำไม ข้างในของเจ้ารุงรัง เจ้ามัวขัดสีแต่ภายนอก" ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กินฺเตหิ ชฏาหิ ทุมฺเมธ ความว่า เหวยชฏิล ปัญญาทราม ไร้ความรอบรู้ การมุ่นชฏานี้ อันผู้เว้นจากการเบียดเบียน จึงควรธำรงไว้ อธิบายว่า เจ้าปราศจากคุณ คือการเว้นจากความเบียดเบียนเสียแล้ว จะมุ่นชฎานั้นไว้ทำไมเล่า?

               บทว่า กินฺเต อชินิสาฏิยา ความว่า จำเดิมแต่เวลาที่เจ้าไม่มีสังวรคุณ อันคู่ควรกัน เจ้าจะนุ่งหนังเสือทำไมเล่า?

               บทว่า อพฺภนฺตรนฺเต คหนํ ความว่า ภายใน คือหัวใจของเจ้ารุงรัง หนาแน่นด้วยเครื่องรุงรัง คือราคะโทสะโมหะ.

               บทว่า พาหิรมฺปริมชฺชสิ ความว่า เจ้านั้น เมื่อภายในยังรุงรัง ยังมัวขัดสีข้างนอกด้วยการอาบน้ำเป็นต้น และด้วยการถือเพศ เมื่อมัวแต่ขัดข้างนอก เจ้าก็เป็นเหมือนกระโหลกน้ำเต้าที่เต็มด้วยรัง เป็นเหมือนตุ่มเต็มด้วยยาพิษ เป็นเหมือนจอมปลวกที่เต็มด้วยอสรพิษ และเป็นเหมือนหม้อที่วิจิตรเต็มด้วยคูถ ซึ่งเกลี้ยงเกลาแต่ข้างนอกเท่านั้น เจ้าเป็นโจร จะอยู่ที่นี่ทำไม รีบหนีไปเสียโดยเร็วเถิด ถ้าเจ้าไม่หนีไป เราจักบอกชาวบ้านให้ทำการขับไล่ข่มขี่เจ้า.

               พระโพธิสัตว์คุกคามดาบสเจ้าเล่ห์อย่างนี้แล้ว ก็เข้าสู่จอมปลวก แม้ดาบสเจ้าเล่ห์ก็หลบไปจากที่นั้น.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า

               ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงนี้

               ดาบสผู้มีศีลองค์นั้นได้มาเป็น พระสารีบุตร

               ส่วนโคธบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

-------------------------------

               เห็นพี่น้องทั้งหลายมากราบไหว้ครูบาอาจารย์ มากราบไหว้พระสงฆ์ท่านที่มีจำนวนมากและเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราเป็นที่พอใจ ปลาบปลื้มใจกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก คนชั่วมีทั่วๆ ไป แต่ไม่แสลงใจเหมือนพระชั่ว ถ้าพระชั่วนี้แสลงใจมาก กระเทือนใจอย่างลึกทีเดียว ประชาชนชั่วเป็นอย่างหนึ่ง แต่ของดีกลับเป็นของชั่วนี้มันดูไม่ได้นะ ของดีต้องเป็นของดี ความสง่าราศีก็นับว่ากระจายออกไป

               พระดียิ่งเป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชน อย่างพระเจ้าพระสงฆ์ท่านอยู่ในป่าในเขาท่านอยู่ของท่านเงียบๆ ประชาชนไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง บางสถานที่ไม่ค่อยมีประชาชนเลย เพราะท่านไม่เสาะไม่แสวงหาประชาชนยิ่งกว่าการเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ประกอบความดีทั้งหลายด้วยกิริยาอันเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ ท่านชอบอยู่อย่างนั้น แต่ประชาชนก็ไปรุมท่าน

               ถ้าผู้ที่ชอบที่สงัดๆ เขาก็ชอบผู้เช่นนั้นแหละ ผู้ที่ชอบพูด ไหนว่าอย่างไรโยม เวลานี้อาตมากำลังสร้างนั้น กำลังสร้างนี้เต็มบ้านเต็มเมือง เป็นพระกวนบ้านกวนเมือง พระที่จะกวนกิเลสซึ่งเป็นตัวพาให้กวนบ้านกวนเมืองนี้มันไม่สนใจ มันวิ่งตามกระแสของกิเลส ไปที่ไหนเลยกลายเป็นพระวุ่น พระกวนบ้านกวนเมืองไป เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมือง ดูไม่ได้ ขัดต่อศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า

หลวงตามหาบัว
เทศน์อบรมฆราวาส
บ่ายวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ฉันทามติ


"ดูก่อนอานนท์  ธรรมก็ดี  วินัยก็ดี  ที่เราได้แสดงไว้   และ บัญญัติไว้ด้วยดี  นั่นแหละจักเป็นพระศาสดาของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต  เมื่อเราล่วงไปแล้ว"

พระเทวทัตไปขอปกครองสงฆ์ พระพุทธเจ้าไม่ให้ แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า แม้แต่สารีบุตร โมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เรายังไม่ให้เลย แล้วเทวทัตเป็นใคร จะให้เทวทัตปกครองสงฆ์ เราให้สงฆ์ปกครองสงฆ์กันเอง

พูดถึงสังฆกรรมนั้น เวลาประชุมสงฆ์ ญัตติ สงฆ์ต้องไม่ค้าน ต้องเป็นฉันทามติทั้งหมด เสียงส่วนน้อยให้ค้านไว้ในใจ เพราะค้านเมื่อไหร่ก็แพ้ ธรรมวินัย บัญญัติไว้ให้สงฆ์ปกครองสงฆ์ ไม่ให้มีความแตกแยก ผู้ที่เป็นบัณฑิต ผู้ที่มีหลักมีเกณฑ์ ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จะเห็นดีเห็นงาม เห็นตามธรรมวินัย

ทีนี้คนไม่เป็นไง เค้าบอกว่าไม่เป็นเอกฉันท์ ดูมวยตู้มากไปเปล่า กรรมการ 3 คน ต้องให้ทุกคนลงคะแนนเป็นเสียงเดียวกันหมด จึงถือเป็นเอกฉันท์? ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูดว่าไม่เป็นเอกฉันท์ แสดงว่าตัวเองค้าน ถ้าเป็นพระ นอกจากท่านไม่เคารพธรรมวินัย นั่นหมายถึงไม่เคารพพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว ท่านได้ทำสังฆเภทแล้วล่ะ ลูกศิษย์ลูกหาก็จงภูมิใจเถิดว่าได้เกิดเป็นลูกศิษย์สายเทวทัต..

---------------------------------

"เชื่อคนพาลสันดานหยาบเห็นไหม มันพาใครไปสวรรค์ นิพพาน มันพาตั้งแต่ลงนรกหมกไหม้ทั้งนั้นละ ทั้งเป็นทั้งตายเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีแต่พวกกิเลสตัณหาอันเดียวกัน เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันมาตลอด"

หลวงตามหาบัว
เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มหาโจร ๕ จำพวก

       หากจะอ้างตัวว่าเป็นพระสายหลวงปู่มั่น ก็ควรทำในสิ่งที่หลวงปู่มั่นท่านทำไว้เป็นแบบอย่าง หลวงปู่มั่นท่านไม่ค่อยออกมาสู่สังคม ท่านอยู่ในป่าในเขามาตลอด ถือธุดงค์เป็นแบบอย่าง ท่านไม่ใช้ผ้าคหบดีจีวร ใช้แต่ผ้าบังสุกุลทั้งชีวิต ท่านถือธุดงค์ทั้งชีวิต

       หากจะอ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตาฯ ก็ควรทำในสิ่งที่หลวงตาพาทำ อย่างในคราวหลวงตาฯ ทำโครงการช่วยชาติ ท่านสงวนพระเณรที่มาช่วยโครงการฯ ไม่ให้มาพักที่สวนแสงธรรมเลย เพราะท่านได้วางหลักไว้ ไม่ให้สวนแสงธรรมเป็นที่หาผลประโยชน์ของใคร..

       หากหลวงตายังอยู่ พวกท่านจะกล้าทำอย่างนี้หรือไม่

-------------------------------------------------------
พระไตรปิฏกเล่มที่ 1.(พระวินัยปิฏก)
มหาโจร ๕ จำพวก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร ๕ จำพวกเป็นไฉน

      ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจรบางคนในโลกนี้ ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอเราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่นเผาผลาญ สมัยต่อมา เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่ง แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี เบียดเบียนเอง ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง ให้ผู้อื่น เผาผลาญฉันใด

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร สมัยต่อมา เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี อันคฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก

        ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ย่อมยกตนขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในโลก

       ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมตามกำจัดเพื่อนพรหมจารี ผู้หมดจด ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก

      ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมสงเคราะห์ เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม พื้นที่อาราม วิหาร พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก

        ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง นี้จัดเป็นยอดมหาโจร ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะภิกษุนั้น ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ด้วยอาการแห่งคนขโมย.

นิคมคาถา
       ภิกษุใด ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น ด้วยอาการอย่างอื่น โภชนะนั้น อันภิกษุนั้น ฉันแล้ว ด้วยอาการแห่งคนขโมย ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม ไม่สำรวมแล้ว ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุผู้ทุศีล ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ ประเสริฐกว่า การฉันก้อนข้าวของชาวรัฐ จะประเสริฐอะไร.

-------------------------------------------------------

       พอดีจะสร้างกุฏิเราหลังนั้นละ เห็นรูปกระต๊อบนี่ ๓ ปีพังไปหลังหนึ่งๆ มันพังเพราะอะไร เพราะเสามันแห้ง ปลวกกินต้นเสาล้มโครม ถ้าเสาแห้งละปลวกกินล้มโครมไป ๓ หลัง ทีนี้คิดว่าจะปลูกหลังใหม่ ท่านอาจารย์เจี๊ยะท่านก็เจตนาดีอยู่ เราก็เห็นเจตนาของท่าน แต่มันขัดกับธรรมอยู่ข้อหนึ่งซึ่งเป็นหลักใหญ่ ท่านมาดูสถานที่ที่จะปลูกกุฏิ ค่ำแล้วนะ มาดูเรียบร้อยแล้วท่านก็กลับไป เรียกว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอย่างนั้นว่างั้นเถอะน่ะ พอเราไปค่ำๆ จวนจะมืดแล้ว ฟังเสียงป้างๆ ขึ้นทางที่อาจารย์เจี๊ยะอยู่นู้น ไปตีเขาเรียกคทาหรืออะไรที่กวาดไสไปไสมา (คราดค่ะ) คราดมันเป็นซี่ๆ ไม่ใช่แผ่นอย่างนี้ ค่ำแล้วต่างคนต่างเลิกกันไป มาดูที่จะปลูกกุฏิเรา ท่านไม่แล้วที่นี่ จวนจะมืด ฟังเสียงป้างๆ ท่านไปทำอันนี้ละจะมาปลูกกุฏิเรา

       ฟังเสียงผิดปรกติเหลือเกิน เราก็เดินไปเลย ตรงเข้าไปหาท่าน ท่านเจี๊ยะ เราว่างี้เลย ท่านอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาก่อนผมแล้ว ผมไปอยู่ทีหลัง ทั้งสองเรานี้เป็นลูกศิษย์อาจารย์มั่น ท่านทำแบบนี้เป็นยังไงกับคำว่าลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น มันเป็นยังไงกัน พอว่างั้นทิ้งปั๊วะเลย เราก็กลับมา พูดเท่านั้นละ เพราะท่านก็เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นผมเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่น การปฏิบัติตัวในข้อวัตรปฏิบัติทุกอย่างท่านทำยังไง ท่านทำอย่างนี้เหรอเราว่างั้น พอว่างั้นเราก็เดินกลับ ท่านก็ทิ้งปั๊วะเลย

       เช้ามาท่านมารอ พอเรามานั่งกราบปั๊บ ปุ๊บปั๊บมาเลย มาจับเท้าเรานี้ไปถูหัว เอ้า เท้านี้มันสำหรับเหยียบขี้ต่างหากไม่ใช่เหยียบหัวคน อู๊ย ให้เหยียบสักหน่อยเถอะมันโง่เอาเหลือเกิน มันผิดเอาเสียมากมาย เมื่อคืนนี้ผมน้ำตาร่วงพอท่านอาจารย์ไปดุ มาคิดเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นพาดำเนินกับท่านอาจารย์พาดำเนินมาไม่ได้เป็นอย่างนี้ ผมผิดชะมัดว่างั้น ผมต้องมายอมโทษ มาแล้วเอาหัวท่านกับเท้าเรานี้มาจับถู จับไปถูอะไรนี่มันสำหรับเหยียบขี้ต่างหากเท้านี่น่ะ โอ๋ย เหยียบบ้างเถอะมันเลวกว่าขี้ท่านว่างั้น เหยียบท่านนะ

       น้ำตาร่วงนะ น้ำตาร่วงเลย ท่านบอกท่านอนุโลมสุดขีดละ เพราะพ่อแม่ครูจารย์ก็ไม่เคยทำอย่างนี้แต่เรามาทำนี่ เราผิดว่างั้น จึงต้องยอมมาเอาหัวถูแล้วน้ำตาร่วงๆ เลย สำหรับอาจารย์เจี๊ยะกับเราลงจริงๆ ลงด้วยกลัวด้วย ท่านจึงบอกว่า อาจารย์ที่อยู่หัารย์เจี๊ยะ นี่ท่านก็เสียไปแล้ว พ่อแม่ครูจารย์มั่นรักท่านมากนะ รักอาจารย์เจี๊ยะ เหมือนพ่อกับลูกเลยวใจผมได้มีสององค์ มีท่านอาจารย์มั่นกับท่านอาจารย์ นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านตรงไปตรงมาอาจ

หลวงตามหาบัว
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตอกหมุด สถานที่สร้างเจดีย์

คณะสงฆ์นำโดยหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ หลวงปู่ลี กุสลธโร, หลวงปู่บุญมา คมฺภีรธมฺโม, หลวงปู่อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม หลวงพ่อสุดใจ ทนฺตมโน ตอกหมุดสถานที่สร้างเจดีย์



วัดป่าบ้านตาดมีเนื้อที่กว้างขวางก็ดี ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เพราะวัดนี้เป็นวัดของแผ่นดิน ทำประโยชน์ก็เพื่อแผ่นดิน ตั้งแต่สร้างวัดเราก็ทำประโยชน์เรื่อยมา ถนนหนทางทำตั้งแต่บ้านดงเค็งเข้ามาถึงบ้านตาดให้ลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันทำเรื่อยมา

ถนนจากหมู่บ้านเข้ามาถึงวัดนี้ก็เหมือนกัน นี่เราทำเอง ขอชาวบ้านขอลูกเต้าหลานเหลน นำทางมา แหวกทางมา ขอมาเรื่อยๆ แล้วก็ขึ้นค่าสินน้ำใจเขา เราไม่ขอเอาเฉยๆ เราให้ค่าสินน้ำใจตอบแทน ค่าตอบแทนเราก็ไม่ให้ต่ำ ให้สูงไว้เสมอๆ ๆ เพราะฉะนั้นสองฝั่งทางนี้มันจะมีหลักฝังอยู่ นี่เราก็จ่ายเงินเขาไปหมดแล้ว

สระน้ำหน้าวัดนี้ก็เหมือนกัน เราก็ให้ทำเพื่อชาวบ้าน ทางสายหน้าวัดนี้แต่ก่อนมันเป็นดงนะ มันไม่มีบ้าน นี่เราขอเอาไว้ก่อนเลย หลวงตาบิณฑบาตไม่ได้บิณฑบาตแต่ข้าวอย่างเดียวนะ แม้กระทั่งถนนหนทางก็ขอบิณฑบาต ขอไปไหนได้หมด เขาก็ว่า ‘อู้ย! หลวงตาขออะไรได้หมดแหละ’ และเขาก็ให้หมดจริงๆ นะ ถนนหนทางมันจึงกว้าง…”

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มติสงฆ์ สร้างเจดีย์ตรงพื้นที่ ๓๐ ไร่

คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดมีการประชุมหารือร่วมกับครูบาอาจารย์ผู้เกี่ยวข้องที่เคยได้ยินได้ฟังคำสั่งหรือคำปรารภขององค์หลวงตาฯ เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์และหรือพระเจดีย์

สรุปความได้ว่า อดีตพระเลขานุการขององค์หลวงตาฯ ได้ยืนยันคำกล่าวขององค์หลวงตาฯ ที่ก่อนหน้าเคยเมตตาชี้จุดก่อสร้าง "หอธรรม" ไว้ในบริเวณจิตกาธานนั้นจริง

แต่ต่อมาเพียง ๒ วัน องค์หลวงตาฯ ได้กล่าวอย่างจริงจังหนักแน่นว่าจุดที่ชี้ไปในบริเวณดังกล่าวเมื่อวันก่อนนั้น เป็นจุดที่องค์หลวงตาพิจารณาทบทวนแล้ว “ไม่ลงใจ” องค์ท่านยังได้กล่าวย้ำกับพระ ๒ รูป ภายหลังการเดินจงกรมพิจารณา โดยมีคำสั่งในระหว่างถวายการนวดเส้นในเรื่องเดียวกันนี้ว่า “เราไม่ให้สร้างในจุดนี้”

ประกอบกับ ในระหว่างการจัดงาน ๑๐๐ ปี ชาตกาลขององค์หลวงตาฯ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักในคืนวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้ฝายต้นน้ำในบริเวณไม่ห่างไกลวัดป่าบ้านตาดนักเกิดทรุดตัวพังทลายลง น้ำปริมาณมากจึงไหลบ่าอย่างรวดเร็วเข้าท่วมในบริเวณรอบจิตกาธานและรอบศาลาใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณด้านหลังแนวบิณฑบาตยิ่งท่วมลึก ปรากฏการณ์อุทกภัยดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี หากปีใดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องก็จะท่วมและเสียหายมาก

ด้วยเหตุนี้การตั้งรากฐานการก่อสร้างในบริเวณที่ไม่ห่างไกลทางน้ำเช่นนี้ย่อมมีความสุ่มเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากแก้ไขโดยการสร้างเขื่อนหรือแนวคันดินกั้นตามลำห้วยก็อาจสามารถป้องกันได้ แต่ทว่าจะเป็นเหตุให้กระแสน้ำที่ไหลมาอย่างต่อเนื่องด้วยปริมาณมากเกิดเอ่อล้นสร้างความเดือดร้อนให้กับหมู่บ้านตาดและหมู่บ้านข้างเคียงกลายเป็นปัญหาใหม่กระทบต่อส่วนรวม ด้วยเหตุนี้ องค์หลวงตาฯ จึงมีคำสั่งไว้อย่างเด็ดห้ามแม้กระทั่งส่วนราชการมิให้สร้างเขื่อนหรือฝายในเขตพื้นที่แถบนี้

คณะสงฆ์ซึ่งมีความพร้อมเพรียงเป็นหนึ่งเดียว จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทูลเสนอทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงเพื่อทรงมีพระวินิจฉัยดำเนินการพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ ในที่ดินผืน ๓๐ ไร่ ที่องค์หลวงตาฯ เมตตารับไว้

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โคนายฝูง

พระพุทธเจ้าทรงแสดงความสำคัญของผู้นำไว้  โดยทรงเปรียบเทียบกับโคนายฝูงซึ่งนำโคอื่น ๆ  ข้ามฟากหรือฝั่ง  มีใจความสำคัญว่า

 “เมื่อฝูงโคกำลังข้ามฝั่ง  ถ้าโคนายฝูงนำไปตรง  โคทั้งหมดก็จะไปตรง  เพราะโคนายฝูง นำไปตรง  ถ้าโคนายฝูงนำไปคดฉันใด   โคทั้งหมดก็จะไปคดด้วย”

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กิเลสมันอยากได้ ห้ามกะบ่ฟังแหล่ว

วันที่ 14 กรกฏาคม 2556 (ค่ำ) : หลวงปูลี กุสลธโร "ปลงสังขาร" ...

ถอดข้อความบางส่วน...

หลวงปู่ลี : ศาลาใหญ่ ๆ เฮดเจดีย์ วัดป่าบ้านตาด บ่มี ๆ โครงการเฮดเจดีย์ เพิ่นมาถามกะไล่หนีแล่ว เดี๋ยวนี่กะเอาควมท่านปิวมาคัดค่าน มาเว่ายูฮั่น ฟังแล่วเขาสิเอาศาลาใหญ่ ไปเฮดค้าขาย เลิกโครงการเฮดเจดีย์เพิ่นประกาศไห่ฟังพอแฮง เขาบ่ฟังแหล่ว เขาวาสิเอาศาลาใหญ่ เจตนาเขาเป่นจังซั่นเด๊ เดี๋ยวนี่เกลี้ยกล่อมแล้วไปนำเขาหมดแล้ว ไปเรื่องโครงการอั่นนี่หมด กะหมดทอนั่นตั้ว สิไปคัดค้านหยัง กะหมดทอนั่นตัว ไห่ผมไปคัดค้านกะหมดทอนั่นตัว ผมบ่ยังนำมูดอก...

คันผมตาย อย่าให้เลย 7 วัน แก๊ไปบ้านตาดแล้ว สุมโลด อย่ามาใส่ไว้ เลี้ยงบังสะกุลอีหยัง ผมบ่ไห่กังวล บ่ให้ยากนำ ไขมันมาออกยูเฮือน เซ็ดบ่ไหว มื่อนี่บ่เซ็ด มูมาเซ็ดไห่ บ่ไหว เซ็ดบ่ไหว อือ..ไป๋ หมดทอนั่นหละ ผมตายจังคอยมาเก็บศพ

ประวัติพ่อแม่ครูจารย์ บุญคือหลังเฮดใส่เจดีย์ เจดีย์พังเขาจะเห็นดอก ซุมประวัติกะเข้าไปไว้เจดีย์เพิ่น หนังสือธรรมะ ตู้กะเฮดแล่วเด๊ ตู้เก็บกะเฮดแล้ว พุ่นไม้พันชาติ บึงแก่น เฮดมาแล้ว อยู่ถ้ำจันพุ่น ไม้พระธาตุมาตาพุ่น บุรีรัมย์ อ.สะตึกพุ่น เฮดไว้หมดแล้ว เดี๋ยวนี่วัดป่าบ้านตาดผมบ่อไปกะเคียดให้ผม เฮดจังได๋ สิเอาไปหยัง พุ่นอยู่ขอนแก่นพุ่น หาปัจจัยครบแล้ว ได้ 200 กั่วล้าน เฮดเจดีย์ พอแล้ว เฮดไว้ผมไห่ครูจานทำประโยชน์แก่ชาตบ้านเมือง อยากให้ฮู่จักประวัติเพิ่นแน แต่พวกนั่นมา บอนได๋มันมี ซุมสมุดใส่ตู้ไว้โลด ซุมประวัติไว้ให้ลูกภายหลังเบิ่ง ย่านโครงการบ่มีบ้านตาด ไปประกาศอยู่จังคอยได้มาเฮดพี่ กะยังมาแต่วาอยู่ เดี๋ยวนี่เกลี้ยกล่อมสิเอา ให้เจ้าอาวาสเพิ่นไปนำหมดแล้ว ผมบ่ไปห้ามแล่ว คึสิบ่ฟัง เอาควมไปเว่า มาอ้างอยู่ฮั่น เอาควมประกาศเพิ่น เขาบ่ยึดแล่วหละ กะเว่าซุม มาอ้างมาพูดอยู่นั่น คันคึไป่นำเขาหมดแล้ว คันเฮดบอนอืน สิบ่ได้ม่างศาลาเด้ ม่างปุ๊บ ศาลาแงกไว้โลด จักเวียกอีหยัง บ่เห็นติ แต่ลื้อ ครูจารย์เอาไป ให้มันหมด เขาลื้อบ้านตาด บ้านให้ตู้จานขาย ยังตาบ่ขายกระดูก เฮดจังได๋หละ กิเลสมี บ่เห็นดอกบาปบุญ ใจผ่องใส บ่เห็น กิเลสเต็มหัวใจ บ่เห็นดอก อือ ไป๋ ทอนั่นหละ พอแล่ว ไป๋ เออ

ลูกศิษย์ : ถวายทองใส่ยอดเจดีย์ 25 บาทครับ

หลวงปู่ลี : คันบ่เฮด มันสิบ่ได้ลื้อศาลาเด้ บ่ลื้อหละ เฮดต่อไปมันสิลื้อ โครงการเขาเฮดศาลาพอแฮงแล่ว กะสิเอ่าไม้เอากระเบื้องไปควดค้าขาย ทอนั่นเด้ กิเลสมันอยากได้ ห้ามกะบ่ฟังแหล่ว อือ.... สิเอาควมไปเว่า บ่ฟังดอก เดี๋ยวนี่ไทบ้าน เขามากระซิบแล่ว คั่นคึดไปนำเขาหมดแล้ว ผมกะไปห้ามแล่ว ผมเฮดพาไป ฟังแหล่วคึสิบ่เอาทางผม พ่อใหญ่ครูจานประกาศไว้จังได๋แหล่ว เขาเอาควมเว่า ควมผมเว่าบ่เอา เฮดมื่นอื่นมันสิบ่ได้ศาลาเด้ โครงการเขาว่าบ่ม่าง มันสิม่าง มันสิได้ศาลาเด้ ผมเข้าใจหมดเด้ เดี๋ยวนี่ กำลังมาเกลี้ยกล่อมเจ้าอาวาสอยู่ เดี๋ยวนี่ไปนำเขาหมด เรื่องธรรมะบ่มีหละ บ่เป็นยา เซ็ดแต่มือ เซดบ่ไหว เมือย.. ซูมื่อกะเซ็ด นั่งเซ็ดอยู่พุเดี่ยว จังซี่ บ่ไหว อือ....

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จะกอดเสา หรือจะเอาธรรม

สรุปว่า งานผ้าป่าที่ผาแดง ผ่านไปด้วยดี ได้ยอดบริจาค 13 ล้านบาทกว่า ก็ขออนุโมทนาผู้มีกุศลจิตที่ร่วมบุญในคราวนี้

จริง ๆ แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบุญสร้างเจดีย์หลวงตาฯ ได้ทุกวันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจัดงานผ้าป่าอีก เพราะคนดำริคงไม่กล้าที่จะจัดให้อีกแล้ว เพราะกลัวเดี๋ยวลูกศิษย์จะเปลี่ยนศรัทธามาหาของแท้ ลาภสักการะของตัวก็จะหายหมด.. สังเกตุดูได้ว่าหากมีงานที่ผาแดงวันใด ท่านนั้นจะต้องมีงานมาชนกันเสมอ วันกฐินก็คงกำหนดให้ตรงกับที่ผาแดง..

สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบก็ขออธิบายให้ทราบดังนี้ เหตุที่มีงานผ้าป่าครั้งนี้ เนื่องจาก วันที่ 30/5/56 อ.อินทร์ถวายได้ประกาศที่บ้านตาดจะจัดงานนี้ขึ้น แต่ที่ประกาศออกสื่อให้สาธารณชนทราบก็ให้หลวงปู่บุญมีเป็นประธานฯ

ลึก ๆ กว่านั้น คงไม่ได้มีจุดประสงค์แค่มาถวายผ้าป่าแน่นอน เพราะร้อยวันพันปี อ.อินทร์ฯ ไม่เคยคิดที่จะมาหาเลย ในวันวางศิลาฤกษ์เจดีย์หลวงตาฯ ที่ผาแดง ก็จัดงานที่วัดตัวเองประชัน กุฏิหลวงปู่ลีที่สวนแสงธรรม ก็ยึดมาเป็นของตัวเองไว้พักตอนลงมากรุงเทพฯ ซึ่งครั้งบูรณะสวนแสงธรรมหลังน้ำท่วมปี 54 ก็ไม่ปรากฎว่าตัวท่านหรือสั่งการลูกศิษย์ให้มาช่วยบูรณะ และไม่เคยขออนุญาตใช้หรือเข้าพักสวนแสงธรรม ตามข้อบังคับฯ ที่ต้องขออนุญาตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาดทุกครั้ง แล้วยังบังอาจทำการเปลี่ยนโถส้วม และยกกุฏิหลวงปู่ลีให้สูงขึ้นจากเดิม โดยไม่ได้ขออนุญาตหลวงปู่แต่อย่างใด ทำให้กุฏินี้สูงกว่ากุฏิหลวงตา แล้วยังดำริที่จะสร้างรูปเหมือนหลวงตา หน้าตักกว้าง 9 เมตร สูง 14 เมตร ทั้งหมดนี้ผิดธรรมเนียมอริยะประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา

ครั้งที่มีผู้ศรัทธามาถวายตั่งแด่หลวงปู่ลี ที่สวนแสงธรรม แม้ตั่งจะมีความสูงเท่ากับตั่งของหลวงตา หลวงปู่ลีก็ได้สั่งให้ลูกศิษย์ไปเลื่อยขาตั่งให้ต่ำกว่าตั่งหลวงตาฯ หลวงตาสั่งห้ามสร้างเจดีย์ ที่บ้านตาด ท่านก็ไม่สร้างตามคำสั่ง โดยไปสร้างที่ผาแดง หลวงปู่ลีท่านก็สอนลูกศิษย์หรือหมู่คณะบ่อย ๆ ว่า หลวงตาท่านทำสิ่งใดไว้ สั่งสิ่งใดไว้ เราลูกศิษย์ที่เคารพรักหลวงตาฯ ก็จะำทำตามนั้น ดังที่ท่านพูดบ่อย ๆ ว่า "ฟังเพิ่นแม้.. ฟังเพิ่นแม้.. " ทำตามที่หลวงตาฯ ท่านพูดหรือสั่งไว้ จะไม่เสียหายเลย

กรณีที่หลวงตาเรียกลูกศิษย์ว่า ธรรม... หรือ เพชรน้ำหนึ่ง ? หลวงตาท่านเป็นพ่อเป็นแม่ ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่ทำร้ายลูก มีแต่ส่งเสริมลูก ดังนี้ จึงเป็นการให้กำลังใจหรือการชม เพื่อลูกจะได้ประพฤติปฏิบัติให้สมกับคำชม ไม่ใช่เอาไปใช้หาลาภสักการะ มีลูกศิษย์หลายองค์ที่หลวงตาชม ต่อมาถูกไล่ออกจากวัดก็มี ยิ่งไปกว่านั้นผู้ถูกชมตอบแทนผู้ให้คำชมด้วยการว่าท่านญาณเสื่อม เพราะผู้ถูกชมย่อมรู้ตัวเองว่าไม่มีธรรมใด ๆ และไม่เฉลียวใจว่าทำไมหลวงตาจึงชม อีกทั้งที่หลวงตาว่ากล่าวตักเตือนก็มีเป็นหลักฐาน ไม่เห็นจะเอาไปใช้บ้างเลย นี่แหละโลกธรรม 8 จะเอาแต่คำชมแต่ไม่เอาคำด่า สำหรับกรณีเกสาเป็นพระธาตุ ก็ให้พิจารณาเทียบกับ ความเสมอต้นเสมอปลาย ธรรมคำสอน ข้อวัตรปฏิปทา และการกระทำต่อพ่อแม่ครูจารย์ ดูก็จะรู้ว่าเป็นพระธาตุจริงหรือปลอม  

กรณีที่มีชื่ออยู่ในพินัยกรรม? หลวงตาฯท่านรู้ว่างานใดเหมาะกับลูกศิษย์องค์ใด หรือถนัดทางไหน ก็จะมอบหมายงานนั้นให้  เช่น ใครถนัดเรื่องมวลชนก็มอบหมายให้ไป และควรจะรับผิดชอบเท่าที่ตัวเองได้รับมอบหมาย เพราะไม่ได้สักไว้ที่หน้าผาก ไม่ใช่สามารถจัดการได้ทุกเรื่องตลอดไป ขอให้ทุกคนได้ติดตามดูว่าในวันที่ 12 สิงหาปีนี้ ซึ่งจะครบรอบ 100 ปีชาตกาลของหลวงตาฯ จะมีการจับไมค์ของพระองค์นี้อีกหรือไม่ แล้วทำไมถึงชอบจับไมค์ในงานใหญ่ ๆ แม้พินัยกรรมไม่ได้สั่งไว้ แต่บอกได้โดยนัยอยู่แล้ว..

ในงานผ้าป่านี้ ได้มีการพยายามล็อบบี้พระกันอยู่หลายองค์ เพื่อที่จะสร้างเจดีย์ฯ ตรงเมรุให้ได้ พระที่ไม่เห็นด้วย เดินทางกลับวัดก่อนก็มีอยู่หลายองค์ แต่พอถึงเวลาตัวเองเข้าไปหาหลวงปู่ลี กลับไม่กล้าจะแสดงจุดยืนที่ตัวเองต้องการ ก็ให้ถือว่าว่ายอมรับมติสงฆ์ วันที่ 19 เมษายน 2556 เพราะในวันนั้นได้นิมนต์ อ.อินทร์ฯ มาร่วมประชุมสงฆ์ด้วยแต่ก็ไม่มาประชุม และมติสงฆ์นี้ก็สอดคล้องกับ มติสงฆ์ครั้งแรกที่พระมาประชุมกัน 1,000 กว่าองค์ หากแม้หลวงตาฯ ยังอยู่ ท่านจะเคารพมติสงฆ์นี้ โดยไม่ยำเกรงเรื่องโลก ๆ ใด ๆ 

หากจะอ้างว่าหลวงตาฯ ได้ชี้จุดสร้างไว้แล้วตรงเมรุ ก็เป็นความจริง แต่ท่านให้สร้างพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ เท่านั้น พระผู้ที่จะมาเป็นพยานการชี้จุด จะมาหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะมีมติสงฆ์แล้วถือเป็นอันยุติ และท่านนั้นก็มีคดีติดตัวอยู่ ต้องกระเด็นออกจากบ้านตาด เพราะอะไรคงไม่ต้องแฉ แต่อย่าไปอ้างว่าผู้หญิงมาขอเป็นลูกบุญธรรมเลย อ้างอย่างนี้มันน่าสังเวชมาก หลวงปู่ลีก็ว่า "พระเหี้ยจัญไร" หากยังไม่รีบมาขอขมา อยู่ไปก็ไม่มีความเจริญ ตายไปก็รู้กัน

แล้วทำไมจึงมีกลุ่มพระที่คิดจะรื้อศาลาใหญ่?  พระอรหันต์สององค์บอกตรงกัน ว่ามันจะเอากระเบื้อง เสา ไปทำพระขาย อ้างตัวว่าเป็นศิษย์เอก จะกอดเสา แต่ไม่เอาธรรม..






คันไทบ้านบ่ซอย(หากชาวบ้านไม่ช่วยกัน) เขากะสิเอาศาลาใหญ่เฮาไปแท้ ๆ

ถอดข้อความ...คำปรารภของหลวงปู่ลีกับคณะศิษย์...ช่วงแรกเช้าวันที่ 13 ก.ค. 2556 ณ กุฏิหลวงปู่ลี วัดภูผาแดง...

หลวงปู่ลี : เอากระเบื้องไป่ขุดธาตุ สิไห่รื้อเฮ็ดดีขึ้น มันใหญ่ขึ้น ๆ โครงการเว้าแล่ว มันสิรื้อศาลานา เฮียบหมด ไม้นะ กระเบื้องเฮียบหมด เดี๋ยวนี่บ่ไห่มาต้องเลย

ลูกศิษย์ : ครับ ๆ

หลวงปู่ลี : เมื่อวานเว้าเหตุผล ย่านบ่ฟัง สิเอาตามแบบ มาเกลี้ยกล่อมเจ้าอาวาสแล้ว ได้ยินกะเลยห้ามเมื่อวานนี่ ไปกุฏิเว้าเฉพาะเพิ่นนะ

ลูกศิษย์ : ปู่ครับคือผมเฮ็ดบุญกับท่านอาจารย์อุทัยแล้ว เดี๋ยวนี้สิมาถวายปัจจัยปู่ ครับ 4,000 บาทครับ

หลวงปู่ลี : อืม ๆ เว้าเหตุผลให่ฟังหมดแล้วนะ แต่กะบ่มีอีหยังดีขึ้น

ลูกศิษย์ : ครับ ยังบ่ดี

หลวงปู่ลี : คันไทบ้านบ่ซอย รื้อแท้ ๆ ไป่ห้ามหลายเทือแล่ว เว้าเหตุผลไห่ฟังหลายเทือแล่ว กะยังสิเอาเดี๋ยวกะอ้าง สิไป่เว้า บ่ไห่อยู่วัด พุได๋เอาไว้บ่ได้ ให้หนีนำกัน พุ่นตั้ว กะเห็นกันอยู่ คันไทบ้านบ่ซอยเอาแท้ ๆ รื้อแท้ ๆ เฮ็ดเข้าไป คันมันดี เดี๋ยววาสิบ่รื้อ ต่อไปมันสิรื้อ สิเฮ็ดเจดีย์นา ป่านนั่น ไป่ห้ามเมื่อวาน ย่านบ่ฟัง ไปรื้อเอา ฮ่วย บ่ยัง พุนี่หลอยเอาไป

ลูกศิษย์ : ผมก็ไม่ยอมเหมือนกันครับ ผมก็นึกว่าเรียบร้อยหมดแล้ว ครับท่านปู่ครับผมจะสู้ สุดชีวิตครับ

หลวงปู่ลี : คันไทบ้านบ่ซอย รื้อแท้ ๆ ไม้กะเสีย อีหยังกะเสีย เขาว่าซิเอาศาลาใหญ่ไปเฮ็ด คันไทบ้านบ่ซอย ไปเกลี้ยกล่อมเจ้าอาวาสยู้ กะไว้หนา

ลูกศิษย์ : เดี๋ยวเราทำหนังสือถึงพระราชินีได้ครับ ถ้าเขาอ้างแบบนั้นเราก็ทำหนังสือฎีกาถึงพระราชินีครับ

หลวงปู่ลี : อีหยังก้อ

ลูกศิษย์ : เดี๋ยวรอตอนบ่าย แล้วคณะของเขาจะมาหรือป่าวครับ ที่ว่าจะมาถวายผ้าป่าตอนบ่ายนะครับ ครับงั้น ผมกราบลาหลวงปู่นะครับ

หลวงปู่ลี : เพิ่นสิมา จักเพิ่นไล่หนีไปซอ เจ้าฟ้าหญิง คันบ่ผิด ประกาศพุ่นหนา ไห่ไป่นำกันเลย ป่านนั่นหนา มันผิดจังซี่หละ ควมบ่จริง ไปซอ ไปเว้า เจ้าฟ้าหญิงหนะ พิจารณาเบิ่งติ คันบ่ผิดเพิ่นสิขับเฮ็ดหยัง ขับออกไป่แล่วสิเอามาอ้างกินอยู่นั่น หาอุบายสิรื้อศาลาหนา ไปเว้าบ่ฟังดอก ได้ยินมาสิเอาแบบอดีตเว้า ฮ่วย... กะเว้าเหตุผลให้ฟังหมด ย่านบ่ฟังอยู่นี่ อยากได้ศาลาเนี่ย คึดไปคึดมา คึดสิโดนพ่อแม่ครูจารย์หลาย คันไทบ้านบ่ซอยรื้อแท้ ๆ แล้ว ฟังฮั่นกะฟังอยู่ ได้ยินมาใส่หู แล้วไปทางนั่นอีก คึสิบ่ฟัง
|.
|..
|...
หลวงปู่ลี : คันไทบ้านบ่ซอย บ่ได้แน่ ๆ ใจไปนำกัน เมื่อวานได้ยินกะเลยไปคัดค้าน เว้าคึสิบ่เอา โครงการวาสิบ่ม้าง จังซั่นจังซี่ ม้างคือเก่า ไม้เฮียบโลด ลงไปรื้อเฮียโลด ไม้มูนั่น พ่อแม่ครูจารย์ พูนั่นกะมายาดเอา พูนี่กะมายาดเอา ใจดี รื้อศาลาได๋แน พ่อแม่ครูจารย์

ลูกศิษย์ : ครับหลวงปู่ ผมกะสู้ตายอยู่แล้วครับ เดี๋ยวเอาเฮ็ดหนังสือถึงพระราชินีเลย

ลูกศิษย์ : หนังสือ เดี๋ยวค่อยประสานกับพี่นนท์

ลูกศิษย์ : ครับ

ลูกศิษย์ : แต่มันอาจสิเบิ่งหมิ่นหลวงปู่เด้ครับ

หลวงปู่ลี : โครงการเฮ็ดเจดีย์อยู่วัดบ้านตาด มันกะบ่มีอีหลีเด้ เขาประกาศมื้อก่อน

ลูกศิษย์ : ครับ เฮ็ดให่หลวงปู่ยุ่งยากอีหลี

หลวงปู่ลี : ว่าสิบ่เฮ็ดเจดีย์อยู่วัดบ้านตาด มันกะสิแกล้งกันตั้ว มันอยากได้ศาลาใหญ่แหม่

ลูกศิษย์ : ครับ

หลวงปู่ลี : พระบ้านตาดหนา

ลูกศิษย์ : ครับ

หลวงปู่ลี : คันไทบ้านบ่ซอย เขากะสิเอาศาลาใหญ่เฮาไปแท้ ๆ... วัดบ้านตาด พื้นที่กะมีหล๊าย หลาย ที่ ๆ เหมาะสำหรับเฮ็ดเจดีย์กะบ่เฮ็ด กะสิมาเฮ็ดใส่ศาลาใหญ่นิ มื้อวานไปคัดค้าน กะบ่มีอีหยังตอบรับเลย

พระอาจารย์ : ครับ หลวงปู่ครับ น้องสาวเขาฝากถวายทับทิมสยามครับ ไว้ประดับ น้องของญาติฝากมาถวายครับ

หลวงปู่ลี : อืม ๆ

ลูกศิษย์ : ครับ เรื่องของพระอาจารย์ที่ถูกขับไล่นะครับ ที่ถูกอ้างว่าไปบอกฟ้าหญิง หลวงปู่ชี้จุดไง ผมว่าเราต้องเล่าเรื่องของพระอาจารย์ที่ถูกขับไล่ ถูกขับไล่เพราะอะไร อย่างไร

พระอาจารย์ : ใช่ ๆ

ลูกศิษย์ : เพราะว่าเรื่องนี้มันมีพยาน ทั้ง ตชด. ครูบา ที่อยู่กับหลวงตา ณ กุฏิ หลังจากที่ท่านเข้าไปให้ให้ท่านชี้จุด จะเอาแค่เรื่องนี้ไปฟ้องเจ้าฟ้าหญิง ไล่ออกเลย ผมว่าเราจะทำฎีกาถวายเรื่องราวทั้งหมด ในการที่อาจารย์ไปอ้างลงมานี้ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง ผมว่าเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน โดยเฉพาะครูบา และหลวงตานี้ คงไม่อยากทำให้ประชาชนเดือดร้อนนะครับ และวันนี้เราก็ควรจะมาพูดกันต่อหน้าหลวงตาเลยมันจะได้จบ แล้วถ้าหลวงตาขันธ์อ่อนแบบนี้ เท่ากับทำลายหลวงตานะครับ ผมไม่ยอมนะครับ ถ้าทำเพื่อปกป้องหลวงตาแล้วตาย ผมยอมตายครับ และจะไม่ไปประชุมที่อื่นครับ จะประชุมต่อหน้าหลวงตาเท่านั้น เดี่ยวนี้นิมนต์เลยครับ

ลูกศิษย์ : เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ แต่ตอนนี้เขาประชุมกันอยู่วัดถ้ำย่าไกล แต่ประชุมเรื่องของสถานีวิทยุ

ลูกศิษย์ : ไม่เอาสถานี ผมไม่เกี่ยว หลวงปู่ไม่ยุ่ง

พระอาจารย์ : ตอนบ่ายนี้เดี๋ยว ครูบา อาจารย์เขาจะมาพูด

ลูกศิษย์ : งั้นผมขออนุญาตหลวงปู่นะครับ ผมของพูดเองเลย ไม่เอาแบบลับหลังหลวงปู่เลย

พระอาจารย์ : มา เดี๋ยว อาตมาจะเล่าให้โยมฟัง อาตมาไม่เคยทราบมาก่อนเลย ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเป็นอุบายอย่างที่หลวงตาเล่ามา แต่ก็ไม่ได้จะรื้อศาลาเลยนะ

ลูกศิษย์ : ที่หลวงปู่ยกประเด็นมาที่ว่าเป็นอุบาย ใช่ เพราะตอนนี้ยังไม่รื้อแต่อีกสักหน่อยต้องรื้อ พื้นที่ไม่พอก็ต้องรื้ออยู่ดี แล้วก็จะพูดว่า ทำมาแล้ว ไม่ให้รื้อศาลา เจดีย์ก็ไม่เสร็จ

พระอาจารย์ : เอ่อ…ตรงนี้ มีข่าวหนึ่งที่น่าจะเป็นข่าวดีละนะ อาจารย์ปิวบอกว่าหลังจากที่หลวงตาไปบอกท่าน ท่านสั่งระงับที่หลังนะ

ลูกศิษย์ : งั้นไล่อาจารย์ปิวออกเลยครับ งั้นฝากครูบาด้วยครับ ตอนนี้หลวงปู่ไม่ไหวแล้ว

พระอาจารย์ : ก็ทางพระอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องการให้รื้อนะ

(ครับงั้นก็ให้หลวงตาพักผ่อนนะครับ เชิญออกข้างนอกเลยครับ ปิดประตูด้วยครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ภาพจากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๙๑๖



Hilight การประชุมสงฆ์ครั้งล่าสุด

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

ประกาศความคืบหน้าเจดีย์ฯ บน luangta.com

      ในวันนี้ (๑๙ เมษายน ๒๕๕๖) เวลาประมาณ ๘.๐๐ น. หลวงปู่ลี กุสลธโร พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน ในนามคณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์องค์หลวงตา ได้ประชุมหารือกัน ณ วัดป่าบ้านตาด มีมติให้รักษาสภาพเดิมของเมรุและบริเวณไว้ สำหรับสถานที่ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ นั้นให้พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน ในฐานะเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เป็นผู้ตัดสินใจเลือกสถานที่แห่งใหม่ที่มิใช่เมรุและบริเวณ ซึ่งได้ข้อสรุปเป็นมติในวันนี้ ให้ก่อตั้งภายในบริเวณพื้นที่ด้านหลังที่บิณฑบาต

       สำหรับประวัติที่ดินแปลงนี้นั้น แต่เดิมเมื่อครั้งก่อตั้งวัดป่าบ้านตาดใหม่ๆ เป็นที่นาของคุณตาก้อน วังคำแหง ผู้มีพระคุณแก่วัดป่าบ้านตาด คุณตาก้อนมีศักดิ์เป็นน้าชายของหลวงตาเนื่องจากเป็นน้องชายแท้ๆ ของโยมมารดาหลวงตา


      คุณตาก้อน วังคำแหง เป็นหนึ่งในสองของเจ้าศรัทธาใหญ่ผู้ยกถวายที่นาของตนที่อยู่ภายในกำแพงวัดชั้นใน ให้เป็นที่ตั้งวัดป่าบ้านตาดตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัด (เจ้าศรัทธาอีกท่านหนึ่งคือ คุณตาบุดสา บัวสอน) นอกจากนี้คุณตาก้อนยังแบ่งที่นาของตนอีกส่วนหนึ่งยกถวายให้เป็นทางเข้าวัดอีกด้วย โดยไม่ยอมรับเงินตอบแทนใดๆ จากหลวงตาเลย แม้จะให้เป็นล้านๆ คุณตาก้อนก็ไม่รับ คุณตาให้เหตุผลกับหลวงตาว่า


    "เงินไม่เอา จะเอาบุญ .. ตัดทางเข้ามาเลย .. จะไต่ไปทำไมคันนา พระตกคันนา มันไม่เหมือนเด็กน้อยตกนะ รีบไปทำถนนเข้าสิ พระตกคันนามันมีบาปด้วยละ"


    คำพูดเช่นนี้ยังความซึ้งใจแก่หลวงตาชนิดฝังลึกมาก องค์หลวงตาเคยเล่าถึงคุณงามความดีของคุณตาในเรื่องนี้ให้ศิษยานุศิษย์ฟังด้วยว่า


    "ผู้เฒ่าก้อนถวายที่ทั้งหมดให้เป็นวัด นาก็ให้เลย นาของแก ตัดทางเข้ามาเลย ผู้เฒ่านี่เป็นคนใจบุญนะ ใจบุญ ถวายที่นี่ ยกที่ดินถวายทั้งหมดเลย ก็เลยได้อยู่ที่นี่ ..


     เราจะเอาอะไรให้ แกก็ไม่เอา ให้เป็นล้านๆ ก็ไม่เอา จะเอาบุญเท่านั้น คำพูดของผู้เฒ่าเรายังไม่ลืม ฝังลึกมากนะ"


     สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์นั้น ขณะนี้ได้วางศิลาฤกษ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ จากนี้จะดำเนินการก่อสร้างในบริเวณดังกล่าว(ที่นาดั้งเดิมของคุณตาก้อน วังคำแหง)ต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามมติที่ประชุมในวันนี้ (๑๙ เมษายน ๒๕๕๖) มีหลวงปู่ลี กุสลธโร เมตตามาเป็นประธานคณะสงฆ์ฯ และเป็นประธานในที่ประชุม ส่วนเมรุและบริเวณโดยรอบนั้น ที่ประชุมมีมติให้รักษาสภาพเดิมไว้ เพื่อดำรงไว้ให้เป็นสถานที่แสดงความเคารพสักการะกราบไหว้บูชาของเหล่าศิษยานุศิษย์ที่มีต่อองค์หลวงตาอีกแห่งหนึ่ง

       (อนึ่ง เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ประธานพร้อมด้วยคณะสงฆ์ราว ๑,๐๐๐ รูป ได้ร่วมประชุมและมีมติเป็นเอกฉันท์ในครั้งนั้น ให้วัดป่าบ้านตาดเป็นผู้กำหนดสถานที่ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ โดยความเห็นชอบของหลวงปู่ลี กุสลธโร ซึ่งต้องไม่ห่างไกลจากเมรุที่ใช้ในงานพระราชทานเพลิงฯ และมีมติให้รักษาสภาพเดิมของเมรุไว้เช่นเดียวกัน พระมหาเถระใหญ่ทั้งสองท่านผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกขององค์หลวงตาและเป็นประธานสงฆ์ทั้ง ๒ วาระ จึงมีมติที่สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)


        จึงประกาศให้ทราบความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ฯ เพื่อจะได้ร่วมบุญและร่วมอนุโมทนาสาธุการให้การดำเนินการสำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว ยังความปลื้มปีติยินดีทั้งแก่มนุษย์เทวดาอินทร์พรหมตลอดยังสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วกันด้วยเทอญ

ที่มา : http://www.luangta.com/

ประชุมสงฆ์เพื่อกำหนดพื้นที่ก่อสร้างเจดีย์ 2/2

ประชุมสงฆ์เพื่อกำหนดพื้นที่ก่อสร้างเจดีย์ 1/2

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

หลวงปู่ลี ปรารภธรรมเรื่องศาลาใหญ่


“.......มาเว้าเรื่องท่านอินทร์ไปประชุมอยู่สวนแสงธรรมเดี่ยว นี่ อันศรัทธาเขาโทรศัพท์มาบอก ว่าจั่งซั่นจังซี้ แหล่ว อาการของผมนี่ จวนแล้ว ผมย่านบ่ได้เว้าให้ท่านฟัง (หมายถึงพระสุดใจ) อื่อ...เลยมามื้อหนิ มันเปื่อยเบิ้ดตนโตหนิ อือ...สังขาร เดี่ยวนี่ท่านอินทร์ไปปัดซุมอยู่โพ่น ว่าสิม้างศาลาใหญ่หนิแล้วกะม้างทางกุดผม สิเอาเจดีย์ขึ้นหั่นวาสั้น แล้วสิมาทำลายฮอยมือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ นั่น!!! โอ๋ย คันสิเฮ็ดจั่งซั่น บ่อนซื้อใหม่ซื้อไว้เฮ็ดหยัง ไปเฮ็ดพุ่นกะได้ตั้ว

บ่เห็นติ ศาลานี่ เจ้าคุณธรรม (พระอุปัชฌายะของหลวงตา หลวงปู่ลีด้วย) เพิ่นเฮ็ดให้เนี่ย กิมก่ายมาขอเฮ็ดแหล่วกะด็อกเตอร์เชาว์เพิ่นมาขอเฮ็ด เพิ่นบ่ให้เฮ็ดเลย มีแต่ซ่อมแซม ยกเสาขึ้น อือ...เจ้าคุณธรรมฯเด๊เฮ็ดให้เพิ่น ไปนำแล้ว โอ่ย เพิ่นบ่อยู่แล้ว นี่ธรรมดาหะเนี้ยเฒ่ามาหล่าออกแล้ว แหล่วว่าสิเฮ็ดตลาดน้อยพุ้นดี้ ขายของพุ่นหนะ เพิ่นไปเว้าอยู่พุ้นหนะ อื่อ..”

(โยมกราบเรียนต่อ)... “ขอโอกาสครับ ว่าที่เขาประกาศเห็นเขาโทรมา คอกวัวนี้จะรื้อออก จะทำเป็นสวนหย่อมแล้วก็สร้างอาคารหลังนึงไว้ขายของที่ระลึก เพื่อเอาปัจจัยมาไว้ดูแลเจดีย์ ผมก็เลยบอกว่าผมไม่ทราบผมไม่กล้ากราบเรียนหลวงปู่ เขาออกข่าวกันขนาดนั้นหละครับผม”

ท่านอาจารย์สุดใจเลยกราบเรียนหลวงปู่ว่า “...ผมก็ได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกันครับผม มีคนเขามาเล่าให้ฟัง...”

หลวงปู่ปรารภต่อว่า “...อื้อ หั่นหละ แหล่วสิมาทำลายฮอยมือพ่อแม่ครู จารย์เบิ้ดดี้ อั่น ศาลานั่น กระทิงแดงเนี่ย พ่อแม่ครูจารย์ก๋าให้เด้ ทางกว้าง ๓๐ เมตร ทางยาว ๖๐ พุ่นหนะ กะยกมือ เค้าเฮ็ดให้แหล่ว กะพ่อแม่ครูจารย์ดี้ ส้วมหนิกะเพิ่นเป็นผู้ให้ม้างดี้ ส้วมอยู่หั่นหนะ อั่น จูดศพ อั่น ท่านปัญญาหนา”

ท่านอาจารย์สุดใจ “ครับ” หลวงปู่ปรารภต่อ “เพิ่นบ่ยอมให้ม้างบ่ยอมให้ฮื้อเอาอยู่หั่น แล้วสิมาทำลายจั่งซั่นเฮ็ดจั่งใด๋ โอ๋ย...เงินล้านหนิบ่เข้ามาแหล่ว คันสิเฮ็ดจั่งซั่น ! อือ...ซื้อไว้เฮ็ดหยังซั่นหนะ อันนอกหนะ คันเกดเฮ็ดอยู่กะได้ตั๊ว จ่งไว้ตั้ง ๓๐ ไร่”

โยมกราบเรียนเพิ่ม... “ความหมายหลวงปู่บอกว่า ได้เริ่มฝืนธรรมพ่อแม่ครูจารย์ แล้ว ก็ไปทำข้างนอกซ่ะ ว่างั้นครับผมหลวงปู่ “ อื่อ...คันสิเฮ็ดจั่งซั่น เฮ็ดโลดแหล่ว ...ดีบ่ดี...ให้ไปเฮ็ด อยู่วัดพ่อแม่ครูจารย์คือกัน หั่น พุ้นหนะ กกสะทอน...

โย้ว...สิมาม้างศาลาเด้ หละเฮ็ดให้รอยมือของครูบาอาจารย์ เพิ่นเฮ็ดไว้ กะให้อยู่เป็นปกติตั๊ว กะท่านอินทร์มันกะจนว่า เพิ่นฮ้ายให้ พ่อแม่ครูจารย์ป่วยมาก ๆ นี่ตั๊วจั่งค่อยมา อือ...มันกะได้ยินพอแฮงแล้ว มันหยังสิไปเว้าจั่งซั่น ศรัทธาดี๋ คะเจ้ามีศรัทธา เขาบริจาคดิ้ เขาโทรศัพท์มาถาม....”

ท่านอาจารย์สุดใจกราบเรียนเพิ่มอีกว่า... “หลวงปู่บุญมี ท่านบอกไปไกลแล้ว ต้องอาศัยหลวงปู่หละครับ ...อื่อ...ต้องอาศัยหลวงปู่แหละพูดปรามไว้”

...หือ...หลวงปู่ลีตอบ...เว้ายังใด๋ เทื่อผมตายเฮ็ดจั่งใด๋ ผมว่าสิตายแต่มื้อคืนหนิ ผมย่านบ่ได้เว้าให้หมู่ท่านฟัง (พระอจารย์สุดใจและคณะ) ผมกะเลยมามื้อหนิ อือ...มันเปื่อยเบิ้ดหละเนี่ย นำหมู่เนี้ย เป็นเลิมเบิด หัวหมู่หนิกะเปื่อยเบิ้ด นำหน้านำตาหมู่เนี่ย อือ...มันจวนละดี้ ให้เว้ากันแหล่ว ...สิมาเฮ็ดร้านค้าอยู่ในวัดแล้วห่าเนี้ย อื้อ..สายครูบาอาจารย์บ่ได้สอน...”

โยมกราบเรียนเพิ่มอีกว่า... “ขายของที่ระลึก มีแต่ขายพ่อแม่ครูจารย์หละครับผม ขายรูปเหมือนครับ”...

หลวงปู่ลีพูดต่อ... “อื้อ...สิยอมให้เฮ็ดติหมู่พวกหละ ?”

ท่านพระอาจารย์สุดใจ เรียนตอบไปว่า... “ก็ไม่มีใครเห็นด้วยกระผม หือ...ไม่มีใครเห็นด้วยหละ”

หลวงปู่ลีพูดต่อ... “บ่มีแหล่ว ดีบ่ดี อั่น ผู้ให้ปัจจัยมาก ๆ นี่ ย่านเขาบ่มาใกล้หละ มากะ มะเขมะขา อือ...ตาสีตาสาหนะ มายุ อื่อ...หลุสิทำลายสมบัติครูบาอาจารย์เบิ้ด ผมได้ยินว่า เพิ่นบ่ให้เฮ็ดดิ๊ เจดีย์ในเขตวัดเพิ่นหนิ เพิ่นเฮ็ดเป็นวัดตัวอย่างจั่งซี้....ก่อสิได้ไปเฮ็ดอยู่พุ้น เพิ่นบ่ให้เฮ็ดเลย อันนี่ เจ้าฟ้าหญิง...อนุโลมเลยกะให้ไปเฮ็ดอยู่นอกพุ้น บ่อนซื้อใหม่พุ้น เฮ็ดไว้หยัง ๒๐๐ ไร่พุ่นหนะ

อือ...ในเขตนี่บ่อยากให้เฮ็ดแหล่ ว...ผมหน่ะ ผมฟังอยู่ คันสิทำลายจั่งสิ กะมาคัดค้านได้อยู่แล้ว เจ้าฟ้าหญิงกะเว้าได้อยู่ หยังจะบ่ได้ สิมาทำลายฮอยตีนฮอยมือครูบาอาจารย์...บ่เอา บ่มักจั๊กดี้...โครงการเพิ่นสิ ม้างฮอดกุดผมเฮ็ดอยู่ ผมอยู่หนา ม้างไปฮอดพุ้นละ ว่าเจดีย์ ว่าสิเอาใส่บ่อนเทคอนกรีต บ่อนลานข้าวเปลือกหนะ...”

ท่านอาจารย์สุดใจกราบเรียนต่อว่า... “แปลนเก่ามันศาลาหลังใหญ่ก็ยังอยู่ หือ...ศาลาหลังใหญ่ก็ยังอยู่ไม่จำเป็นต้องหลังใหญ่ก็ยังอยู่ หือ...ศาลาหลังใหญ่ก็ยังอยู่ไม่จำเป็นต้องรื้อ ลองถามเค้าดูว่ามันจะขัดกันมั้ย เค้าบอกว่าไม่ขัด คนที่เค้าออกแบบ แถวตรงลานข้าวเปลือกจะเป็นพวกพิพิธภัณฑ์...หือ...ตรงลานข้าวเปลือกจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ อย่างประวัติท่านครับกระผม แต่ตามแปลนเก่า กุฏิหลวงปู่ไม่ได้รื้อแล้ว”

หลวงปู่ปรารภต่อ... “หือ...ได้รื้อเบิ้ดคือว่าซั่น ...

พระอ.สุดใจพูด “ตามที่ใหม่ที่เค้าออกความคิดมาไง”...

หลวงปู่ลีว่า... “เพิ่นไปปัดซุมอยู่พุ้นดิ๊ อยู่สวนแสงธรรมพุ้นดิ๊ อั่นเว้าใหม่เหนี่ย...ผมบ่มักแหล่ว อือ...คันเว้าคือจั่งอยู่นั่นหนะ ความจริงเมมเพิ่นหมู่นั่น ผมบ่ให้ทำลายเลย ให้ช่างมามุงไว้นั่น ให้คนกราบคนไหว้หั่น ยังสิมีประโยชน์กั่วนั่น มีประโยชน์กว่าดี้ มีประโยชน์กว่าเจดีย์ซ้ำหละแหม๋ เมมเพิ่นหนะ เฮามุง มามุงไว้บ่ให้ฝนถืกมัน ผมบ่อยากให้ทำลายเลยอันหนิ ให้ปัดซุมอยู่ มันบ่เฮ็ดเทือหนิเฮ็ด...สิมาคัดค้านเด๋ ! คันสิมารื้อแบบหนิ...บ่เอ๋า ! มากราบฮอยมือฮอยตีนพ่อแม่ครูจารย์ยังสิมีประโยชน์กั่ว...”

โยมกราบเรียนพระอาจารย์สุดใจว่า... “หลวงพ่อย้ายไปอยู่ข้างนอกได้มั้ยครับ ถ้าหลวงปู่ปรารภแบบนี้”

พระอาจารย์สุดใจตอบ... “คือ หลวงตาท่านสั่งห้ามไว้แล้ว”...

โยมพูดอีก... “ยังไงความหมายของหลวงปู่บอกว่า ยังไงก็ฝืนหลวงตาท่านอยู่แล้วก็เอาเป็นข้างนอกเลย คือเมื่อเช้าหลวงปู่ปรารภอย่างนี้ด้วยครับผม แล้วแต่หลวงพ่อจะพิจารณาครับ”...

ท่านอาจารย์สุดใจกราบเรียนหลวงปู่ “คือ...ถ้าสร้างตามแปลนเก่า มันจะไม่กระเทือนอะไรทั้งนั้น หือ...คือถ้าสร้างตามแปลนเก่าที่เค้ามาเสนอในที่ประชุม มันจะไม่กระเทือน ศาลาใหญ่ก็ยังอยู่ แล้วก็เมรุเพียงแต่สร้างครอบลงไปเท่านั้นเอง”...

โยมกราบเรียนเพิ่มอีก... “ต่อไปมันจะไม่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบ่ครับกระผม”

ท่านอาจารย์สุดใจว่า... “มันก็เป็นไปโดยปริยายอยู่แล้ว”....

โยมพูดเพิ่มอีก... “ถ้าแบบนี้หลวงพ่อไม่ฝืนไปทำข้างนอกเลย เหรอครับ รถทัวร์มาก็จอดข้างนอกหมด ภายในวัดก็ไม่มีจอด”

ท่านอาจารย์สุดใจตอบว่า “เค้าเข้ามาอยู่ดีแหละ คือ คราวแรกเราว่า ตรงที่เก่าตรงเมรุเพิ่น ถ้าสร้างตรงนั้นมันจะใกล้วัดเกิน ไป ก็ให้ขยับไปตรงคอกวัว เค้าไปออกแบบมาแล้ว เพราะว่ามันไม่สะดวก มันไม่เหมือนอยู่ที่เก่า แล้วก็เลยถามว่า แล้วศาลาหลังใหญ่หละ มันจะไม่บังภาพเจดีย์อะไรเค้ารึเปล่า เค้าบอกไม่ ไม่ขัดกันถึงจะมีศาลาหลังใหญ่อยู่ก็ตามที มันจะไม่ขัดกัน ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียง ประมูลมั้ง หลวงปู่บุญมีท่านก็ไม่เห็นด้วย หือ”...

โยมกราบเรียนหลวงปู่ว่า... “หลวงปู่บุญมีบ่เห็นนำครับ”...

หลวงปู่ลีปรารภต่อ... “กะบ่เห็นนำแหลว คันว่ารื้อของเก่าพ่อแม่ครูจารย์แล้ว บ่เห็นนำเลย โย่ว...เว้าคือจั่งท่านอินทร์ไปปัดซุมอยู่นั่น คะเจ้าโทรศัพท์บอกนะ มาเว้าให้ฟังแบบท่านหนิ”

โยมกราบเรียนอีกว่า... “ขอโอกาสครับพระอาจารย์ หือ...คือพวกโยมฟังแล้วก็ มันยังไม่ทันสร้างครับ ก็ครั้งแรกครูบาอาจารย์ว่าอย่างนั้น ก็อยากจะเหมือนหลวงปู่ลี หลวงปู่บุญมีท่านปรารภ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ได้สร้างครับ ประมูลยังไงก็ไม่ได้ทำ”

พระอาจารย์สุดใจเลยว่า... “พูดไว้ก่อนไง สร้างสมองก่อน”...

โยมแทรกว่า... “ถ้าทางโลกภายนอกเค้าว่าโยนหินถามทางก่อนครับผม หือ...ถ้าโลกภายนอกก็ว่าโยนหินถามทาง จะมีเสียงค้านบ่ อีหยังบ่”
ท่านอาจารย์สุดใจพูดต่ออีก... “ว่าจะแกะรูปปั้นตรง หินอ่อนไว้ตรงศาลาใหญ่ หือ...แกะรูปพ่อแม่ครูจารย์ด้วยหินอ่อนแล้วตั้งบริเวณศาลาหลังใหญ่ ศาลาหลังใหญ่หนิ รื้อทิ้งเลย”

โยมพูดเสริม... “บอกว่าหน้าตัก ๙ เมตร ความสูงต้องกี่เมตรนี่ จะไปไว้ที่คอกวัว แล้วก็ศาลาหลังใหญ่จะเปลี่ยนเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง และผมไม่กล้ากราบเรียนหลวงปู่มา ตั้งนานแล้ว จนวันนี้ ลุงชูมาหาหลวงปู่ แล้วถามลุงชู ลุงชูก็บอกว่า ข่าวก็มาว่าแบบนี้ ก็เลยคุยกันเลย ที่ลูกศิษย์เต็มไปหมด ก็หลวงพ่อก็มีข่าวออกมาเหรอครับ”

พระอาจารย์สุดใจตอบ... “ก็เค้ามาเล่า เล่ากันให้ฟัง เราก็เพียงเห็นว่า มันก็ยังไม่ทันได้เริ่มสร้างและมีเสียงค้าน “เกิดทำเลยหละครับ” (โยมแทรก) ...ก็นั่นซี้ แต่อย่างน้อยหลวงปู่คงจะทราบก่อนไง คือพระผู้น้อยเราพูดขึ้น เดี๋ยวก็ว่าไปขัดกับผู้ใหญ่อีก ให้หลวงปู่ไปพูดขึ้นเองมันก็เหมาะ”

หลวงปู่ลีพูดขึ้นว่า... “เอาแหลว...เว้าทอนั่นหละ...”....หลวงปู่ลี พูดต่อท้ายอีก.... “บ่ให้สร้างแหล่ว มาม้างฮอยมือพ่อแม่ครูจารย์ มันกะซั่นแหลว บ่อนอื่นกะบ่อึดบ่อยาก สิมาเบียดเบียน มาทำลายฮอยตีนฮอยมือ ฮ้วย...มาม้างมารื้อ หนี่หละมันบ่มักแท้ใจ บ่มักจักดี้เลย...! ที่มันกะกว้างขวางกะด้อกะเดี้ย สิมาม้างศาลา สิมาม้างกุด แล้วมาเฮ็ดว่าซั่น มันบ่ถืก บ่ถืกใจแหล่ว คันบ่ม้างบ่ว่าเด๊ อือ...กะอยากกว้างขวางกะมีอยู่หนะ เฮ็ดปานใด๋ เฮ็ดทางนอกหะหนะ สิมาเบียดเบียนหยังแถวเนี่ยะ... ไทกรุงเทพเขากะบ่พอใจแหล่ว พวกกรุงเทพเขากะบ่เห็นดีนำแล้ว เขาจั่งค่อยมาบอกให้ มาคัดค้าน

ท่านอินทร์ไปอยู่พุ้นหนะ พุ้นนะ พู้นสิตั้งร้านขายของนำพร้อม เดิ่นมันบ่กว้าง ให้ฮื้อศาลาใหญ่ออก แหล่วกะกุดทางอาตมาอยู่นั่น รื้อออก อือ...คันสิเฮ็ดกว้างเฮ็ดขวางปาน นั่น บ่อนซื้อใหม่กะเฮ็ดปานใด๋ จ่งไว้ตั้ง ๓๐ ไร่ พุ้นหนะ อือ...หนิบ่ได้กีดหยัง แหล่วกะมีอยู่หนิ บ่อนกว้างบ่อนขวง คันสิเฮ็ดหนะ นี่สิมาม้าง ขี้ตีนขี้มือ พ่อแม่ครูบาอาจารย์...บ่เอา ๆ บ่มัก

อือ...ศาลาใหญ่หนิดี้ เพิ่นสั่งให้กระทิงแดงเฮ็ด กว้าง ๓๐ เมตร ยาว ๖๐ เมตร วาซั้น กะยกมือวื่นโลด อือ...แหล่วเฮาสิมาม้างฮอยตีนฮอยมือครูบาอาจารย์ ไปเฮ็ดแนวอื่นวาเนี้ย โหย...มันบ่จุใจ บ่ถืก ศาลาเนี้ย เจ้าคุณธรรมฯ มาเฮ็ดให้พ่อแม่ครูจารย์หนา อือ...เพิ่นบ่ทันฮู้จักหยังวา เพิ่นบ่อยากให้เฮ็ดหยัง อือ..อัน เพิ่นกะเลยมาเว้าไทบ้าน เอ่อ...ไทบ้าน จัดไม้กัน สร้างศาลาวาซั้น ไทบ้านกะพุ้น เขาเลื่อยไม้แล้ว ขนเข้ามาวัดดี้...เอ่า...แมนผู้ใด๋เฮ็ดหยัง เจ้าคุณธรรมฯเพิ่นจัดไม้ให้หมวด ผมเลื่อยไม้เฮ็ดศาลา วาซั้น ผู้ใด๋บอก เจ้าคุณธรรมฯแหละวาซั้น ปากบ่ได้พ่อแม่ครูจารย์ แต่กี้เขาเจ้าแก่ไม้มา ผู้ใด๋แก่ไม้เสียงล้อมันคือหลาย...แล่น มาเบิ่ง มาเบิ่งไม้กะมาแล้ว เขากะไปบอกเจ้าคุณธรรมฯ มากะมาเบิ่ง...เอ่อ เฮ็ดศาลาเด้อครูบาเอ้ย พ่อแม่ครูจารย์กะยกมือซือๆ ทางในเมียงสิเป็นสังกะสีเป็นกะเบี้ยง อั่น เป็นตะปูเป็นเหล็กอีหยัง ทางในเมียงสิหามา ให้สูเลื่อยไม้ ไทบ้านเขาอยากเฮ็ดคือหยังเนี้ย มีผู้จัดให้เขากะเฮ็ดหั่นตั๊ว ....คันสิเว้าแบบนี่ บ่ให้เลย มาคัดค้านโลดแล้ว “ เจ้าฟ้าหญิงเพิ่นกะสิเห็นดีนำอยู่หนิ “ สิมาทำลายฮอยมือเพิ่น

ปะซุมอยู่พุ้นกะคือกันแหลว ยกฮอดพ่อแม่ครูจารย์ใหญ่หมั่นพู้น เพิ่นว่าเพิ่นบ่ปรารภเลย เรื่องเจดีย์หนิ อือ...เพิ่นเว้ามาแต่พุ่นหนะ การก่อสร้าง เพิ่นบ่เห็นดีด้วยหละพ่อแม่ครู จารย์หนะ เดินแต่จงกรมภาวนาท่อนั่น การก่อสร้างบ่เห็นดี อือ...กุฏิหลังใหญ่ ๆ กะมีแต่ไทกรุงเทพแหละ หมอเจริญมาเฮ็ดให้ แหล่วกะด็อกเตอร์เชาว์ เพิ่นไปกรุงเทพกะหลอย เขามาเฮ็ดให้ กุฏิใหญ่หนะ ปฏิปทากะมีแต่กะต็อปแหล่ว มีแต่กะต็อปผ้าแอ้ม แอ้ม ๆ ผ้าแหละแต่เก่า...ทางนอกแม่นอัตมาเหนี่ยเฮ็ด อัตมาบ่เฮ็ด สั่งลูกน้อง ไปแหล่ว...กะสั่งลูกน้องให้มาเฮ็ดให้ ไปนำเพิ่นเด้ ไปกรุงเทพนำเพิ่น สิไปยามใด๋กะสั่งหมู่ให้มาเฮ็ดให้ อื้อ...เพิ่นบ่ฮ้ายแหล่ว ของไปนำเพิ่นเด้ มีแต่จ่มแหล่ว อื้อ...ไปกรุงเทพยามใด๋ กุฏิมันขึ้นโลด...ฟังอยู่หมู่ปัด ซุมกัน โย้ว...บ่ได้เฮ็ดง่ายดอก เบิ่งอยู่ มาเว้านี่ สิมารื้อศาลาใหญ่ออกหนา มันตำใจแฮงโพด ก่อสิมาบอกหนิ....”

โยมถามกันว่า... “สาธุ จะให้เฮ็ดหรือเปล่า?”....ไม่ให้เฮ็ด !!!

หลววงปู่ลี... “...บ่อน บ่อึดบ่อยาก บ่อนสิตั้งหนา เฮ็ดกว้างปานใด๋กะได้ตั๊ว ท่งนากะยังหลายอยู่หนิ อือ...สิมาเบียดเบียนหยังอันเฮ็ดแล้ว ๆ สิมาแย่งชิงอีหยัง ??? อื้อ...ป่ะ กลับเด้อ นั่งหลายบ่ไหว...”

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

วันวางศิลาฤกษ์ฯ


สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ฯ พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมศิษยานุศิษย์หลวงตามหาบัว เฝ้าฯ รับเสด็จ